ช่วงนี้มีโอกาสได้พบปะกับพี่น้องชาว SMEs อยู่หลายหนหน่อย ทั้งออนไลน์และเจอกันแบบตัวเป็นๆ ยังไงต้องเป็นกำลังใจสำหรับผู้ประกอบการที่เป็น “นักสู้” ทุกๆท่าน แม้ล้มลุกคลุกคลาน แต่ก็ยังฝ่ามรสุมวิกฤติผ่านมาจนได้

สองปีเต็มๆที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจหลายแห่งเริ่มปรับตัว บ้างก็เริ่มตัดค่าใช้ที่ไม่ได้ส่งผลไปที่ยอดขายโดยตรง บ้างก็มีการปรับกลยุทธ์การตลาดและการขายใหม่ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ช่องทางค้าขายแบบออนไลน์เร่ิมมีอิทธิพลมากขึ้น ขืนใช้กลยุทธ์เดิมคงไม่ตอบโจทย์

เมื่อจำเป็นต้องมีการปรับ หรือวางกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ ในบทความนี้จึงอยากจะฝากข้อคิดจากประสบการณ์จริงที่เคยวางกลยุทธ์ใหักับบริษัทฯต่างๆ เอาไว้ 3 ข้อ ดังนี้

✅ข้อที่ 1. ไม่มีกลยุทธ์ใด....ที่จะใช้ได้ยืนยาว

กลยุทธ์ก็เปรียบเสมือนสรรพสิ่งในโลก ที่มีกำเนิด ตั้งอยู่ และดับไป กลยุทธ์หนึ่งๆจะเหมาะสำหรับสิ่งแวดล้อม และเวลาในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น

ประเด็นคือท่านจะปรับกลยุทธ์ให้รองรับอนาคต หรือจะรอให้อนาคต “บังคับให้เปลี่ยน” อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย ไม่มีคำตอบไหนถูกเพียงข้อเดียว 

แต่ที่แน่ๆ เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง กลยุทธ์ธุรกิจจำเป็นต้องเปลี่ยน

อย่ายึดมั่นถือมั่นในกลยุทธ์ที่ผ่านมา ที่ทำให้ธุรกิจุร่งเรืองมาโดยตลอด หรือคุ้นชินในการทำสิ่งเดิมๆ ติดอยู่ในพื้นที่ Comfort Zone จนเคยตัว

✅ข้อที่ 2. ไม่มีกลยุทธ์ใด...ประสบความสำเร็จในวันแรก

ผู้บริหารหลายท่าน เวลาที่จะใช้กลยุทธ์ใด มักจะสั่งให้ลูกน้องให้ไปจัดทำแผนฎิบัติการ (Action Plan) เพื่อให้พิจารณาก่อน แน่นอนเป็นสิ่งที่สมควรทำอย่างยิ่ง

แต่อยากจะแนะนำเพิ่มเติมว่า อยากให้ผู้บริหารเป็นส่วนหนึ่งของทีม ในการช่วยเขาในการวางแผน แทนที่จะ “จับผิด” เพื่อหาข้อบกพร่องของแผนเล็กๆน้อยๆ หรือไม่ก็ยิงคำถามเสียจนแบบว่า ลูกน้องไม่กล้ามานำเสนอในครั้งหน้า

ในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดองค์กร เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ ผู้บริหารต้องยอมรับว่ามันคือ “สิ่งใหม่” ที่ต้องให้เวลาทีมงานในการเรียนรู้ ต้องให้พื้นที่ในการลองผิดลองถูก

ส่วนตัวยังเชื่อในกรอบความคิดที่ว่า “Learing by Doing” 

ตัวผู้บริหารมีหน้าที่อย่างเดียวว่า การลองผิดลองถูกนี้ มันอาจจะส่งผลเสียร้ายแรงต่อบริษัทฯมากน้อยขนาดไหน ถ้ามีความสุ่มเสี่ยงมาก ก็จำเป็นต้องแนะนำให้แก้ไข หรือไม่ต้องให้ทีมงานทำทางเลือกมานำเสนอใหม่


ที่สำคัญทุกๆครั้งที่ได้ทดลองทำแล้ว ต้องนำผลที่ได้มาพูดคุยกัน เพื่อตอบ 2 คำถามสำคัญ

1.เราได้เรียนรู้อะไรได้บ้าง ทั้งจุดที่ประสบความสำเร็จ และข้อบกพร่อง?

2. Next Step ต้องทำอะไร และต้องการความช่วยเหลืออย่างไร?

✅ข้อที่ 3: กลยุทธ์ที่ไร้ค่าที่สุดคือ...กลยุทธ์ที่ไม่เคยลงมือทำ

ข้อนี้เป็นข้อคิดที่สำคัญที่สุด ตอนคิดวางแผน ตกผลึกมาเป็น Action Plan ก็มาซะสวยหรู ตัดสินใจแล้วต้องทำแน่ๆ แต่พอจะไปทำจริงกลับมีข้ออ้างมากมาย เช่น

#จำนวนคนตอนนี้ไม่พอ 

#อยากให้โฟกัสงานปัจจุบันให้ดีก่อน

#ทีมงานยังไม่มีศักยภาพ

#ไม่ได้จัดทำงบประมาณไว้

งานการวางกลยุทธ์การตลาดเพื่อตอบโจทย์ยอดขายในอนาคต มักจะเป็นประเภท “สำคัญแต่ไม่ด่วน”​ คงเปรียบเสมือนการวางระบบท่อน้ำฉุกเฉิน เมื่อเวลามีไฟไหม้

ตอนที่ไม่มีเหตุ อาจจะดูว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ยกเอางานนี้ไว้ทำหลังสุดก็ได้ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำซะที ??

เชื่อว่าคงเห็นคุณค่าอย่างยิ่ง เมื่อไรก็ตามที่เห็นเปลวเพลิงคาตานั่นแหละ 

ถึงเวลานั้น...ธุรกิจอาจแย่ซะจนเกินเยียวยาก็เป็นได้

???

บทความนี้ไม่มีลิขสิทธิ์เผยแพร่ได้ตามสะดวก

-บุ้ง ดีดติ่งหู-

Marketing&Sales Consultant

Underdog Strategist

Line id: wichawut_boong

Email: [email protected]

จุดประกายไอเดียทางการตลาดและการขาย

สมัครรับข่าวสาร

© สงวนลิขสิทธิ์ 2018-2024 Underdog Marketing
นโยบายความเป็นส่วนตัว
crossmenu

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า