EP#120: App พื้นฐานที่ฝ่ายขายควรมีติดไว้?

บทความนี้จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับ App ที่ผมแนะนำให้ฝ่ายขายควรมีติดมือถือ หรือ tablet เพื่ออำนวยความสะดวกเวลาออกไปขายของ หรือไปเจอลูกค้า  

1️⃣YourQR นามบัตรดิจิตอล

นับตั้งแต่ยุคโควิดเฟื่องฟู ผมแทบจะไม่ได้ใช้นามบัตรที่เป็น Hard Copy แล้ว หลังจากที่พรรคพวกท่านหนึ่งแนะนำให้มารู้จักกับนามบัตร digital 

ซึ่งตอนนี้ผมใช้ app ที่ชื่อว่า YourQR สามารถลงได้ทั้ง Android และ iOS

?วิธีใช้งานก็คือ เมื่อเราติดตั้งเรียบร้อย เราก็ลงข้อมูลเพื่อการติดต่อให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็จะได้นามบัตรในรูปแบบ digital มา 1 ใบ ซึ่งด้านล่างของนามบัตรจะเป็น QR Code ของเรา

พอเจอหน้าลูกค้า ก็เพียงแต่เอา QR Code ให้เขาสแกน อารมณ์เหมือน Add เพื่อนใน LINE App นั่นแหละครับ และใช้กล้องจาก Line หรือApp ที่อ่าน QRCode อันไหนก็ได้

แต่ YourQR สามารถลงข้อมูลได้ครบถ้วนมากกว่าการ add LINE เช่น

☑️ชื่อ-นามสกุลจริง + ชื่อเล่น+ ตำแหน่ง

☑️เบอร์โทรศัพท์ 

☑️Email

☑️Facebook

☑️Website บริษัทฯ

☑️Line

☑️Location ที่ตั้งบริษัทฯใน Google map

?เวลาลูกค้าของเราจะติดต่อก็แค่เข้าไปที่ App นี้ พอเจอนามบัตรเราเสร็จ ถ้าเขาอยากจะโทรศัพท์หา ก็แค่แตะไปที่ icon โทรศัพท์หลังจากนั้น app ก็จะพอไปที่ฟังก์ชั่นการโทรศัพท์ทันที ไม่ต้องหาเบอร์ให้ยุ่งยาก

ถ้าอยากจะติดต่อผ่านช่องทางอื่น เช่น ไลน์, email หรือจะเข้าไปดูสินค้าค้าใน website บริษัทฯ ก็ไปที่ icon รูปนั้นๆได้เลย

?ฟังก์ชั่นที่ตัวเองชอบเป็นพิเศษสำหรับ YourQR ก็คือ ตอนนี้ผมมีนามบัตรที่เป็น Hard Copy อยู่เยอะมาก อยากจะเปลี่ยนให้อยู่ใน App นี้ก็ทำได้ง่ายมาก เพียงแค่ถ่ายรูปนามบัตร หลังจากนั้นระบบหลังบ้าน จะทำหน้าที่เปลี่ยนตัวอักษรทั้งหมดที่อยู่บนนามบัตรกระดาษ ให้อยู่ในรูป Digital ทันที 

คราวนี้เวลาเราจะติดต่อกับบุคคลท่านนี้ก็ไปแตะที่ icon ได้เลย แต่อันนี้ไม่ใช่ฟังก์ชั่นพื้นฐานนะครับ งานนี้ต้องจ่ายตังค์บ้างเล็กน้อย 

?จะว่าไปในแง่มุมของบริษัทฯ นามบัตรทุกใบที่เซลส์แมนได้มาจากลูกค้า เป็นทรัพย์สินของบริษัทฯโดยตรง เคยเห็นหลายแห่งเหมือนกันที่เซลส์แมนลาออกทีไร ต้องตามหานามบัตรคืนมาทั้งหมด เพื่อส่งต่อให้คนใหม่มารับช่วงต่อ 

เซลส์บางคนก็ลืมจริงๆ แต่บางคนก็ตั้งใจที่จะเก็บเอาไว้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว หรือจะเอาไว้ใช้เป็นฐานข้อมูลลูกค้าสำหรับบริษัทฯที่กำลังจะเข้าไปทำงานด้วย

?แต่ถ้าใช้ App นี้แล้วนามบัตรทุกใบ เราสามารถตั้งค่าให้เข้ามาเก็บในระบบข้อมูลส่วนกลางได้ทันที เซลส์แมนจะลาออกวันไหน ยังไงซะทรัพย์สินตัวนี้ก็ไม่หายไปไหน

เข้าไปโหลดได้ฟรีๆที่ Google Play และ Play Store เสริชหาคำว่า YourQR 

ถ้าเป็นบริษัทฯอยากจะให้ทีมขายทุกคนได้ใช้ หรืออยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม เข้ามาตาม Link นี้เลยครับ 

?https://9net.co.th/EN/DigitalNameCard_JUL

2️⃣TimeStamp

?เวลาที่เซลส์แมนออกไปพบลูกค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาลูกค้ารายใหม่ๆ สมัยก่อนจำเป็นต้องให้เขาวาดรูปแผนที่ จะได้เก็บข้อมูล และเผื่อไปยังฝ่ายจัดส่งสินค้าถ้าปิดการขายได้

ยุคต่อมาเริ่มพัฒนาขึ้นก็ให้ปักหมุดลงใน LINE application แล้วส่งเข้าไลน์กลุ่ม ก็นับว่าสะดวกดีเหมือนกัน

แต่ปัญหาคือพอส่งเข้าไลน์กลุ่ม ถ้าทีมขายไม่กี่คนก็ไม่ค่อยมีปัญหา แต่พอลืมเซฟ บางครั้งมันก็หายไปเฉยๆ ทั้งรูป ทั้งโลเคชั่น?

?ตอนนี้ส่วนตัวจะนิยมให้ทีมขายใช้ App ชื่อว่า “TimeStamp” 

พอเขาไปถึงที่หมาย ก่อนเข้าพบลูกค้าก็ให้ถ่ายรูปด้วย app นี้ก่อนเลย ภาพที่ได้ก็จะมีทั้งเวลาที่เข้าพบ และพิกัดซึ่งจะแสดงตัวเลข 2 ชุด ทั้งละติจูด + ลองติจูด

แล้วพอเซลส์กลับมาถึง office ก็ให้ลงข้อมูล หรือให้จัดทำ Call Report แล้ว Cap หน้าจอลงมาด้วย คราวนี้ผู้บริหารก็เห็นเวลาเข้าเยี่ยมลูกค้า กับพิกัดเรียบร้อย หลังจากนั้นก็เอาพิกัดนี้ไปปักลงบน Google Map แล้วเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล

3️⃣Margin Markup Calculator

อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่จำเป็นของบรรดาเซลส์แมน นั่นก็คือเครื่องคิดเลข ซึ่งปัจจุบันนี้ก็นิยมใช้เครื่องคิดเลขที่เป็น App ติดมากับมือถือ 

แต่ถ้าธุรกิจของท่านเป็น FMCG และต้องติดต่อค้าขายกับบรรดาห้างฯ Modern Trade ใหญ่ๆ หรือบรรดา Local Modern Trade ด้วยแล้ว เวลาเขาคิดกำไรจะคิดด้วยระบบ Margin ไม่ใช่ระบบ Markup เหมือนกับยี่ปั๊วทั่วๆไปครับ

ยกตัวอย่าง ถ้าท่านจะขายแชมพูขวดหนึ่ง โดยที่ตั้งราคาขายปลีกไว้ที่ 25 บาท (รวม VAT) แล้วไปขายให้กับห้างฯ ฝ่ายจัดซื้อจะบอกเลยว่าเขาต้องการ Margin เท่าไร 

เช่น เขาขอ Margin = 30% 

ดังนั้นท่านต้องขายให้เขาที่ราคา 25 บาท ลดลงไป 30%

นั่นก็คือราคาที่ท่านต้องส่งให้เขาคือ 17.50 บาท 

เวลากดเครื่องคิดเลขก็ดูจะยุ่งยากนิดๆ 

หรือถ้าเซลส์คนไหนคิดเร็วๆหน่อย ก็อาจจะใช้ 25 บาท X 0.7 ก็ช่วยประหยัดเวลาได้เหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงเวลาที่อยู่ในห้องเจรจาต่อรอง อาจต้องใช้ความรวดเร็ว ดูเป็นมืออาชีพ แถมบางครั้งบางคราว อาจจะต่อรองกันทีละนิดทีละหน่อยทีละไม่ถึง 1% แบบนี้ก็จะยุ่งยากขึ้นไปอีก

?ผมเลยนิยมให้เซลส์แมนโหลด App นี้เอาไว้ติดเครื่องเลยครับ App ที่ผมใช้ประจำชื่อว่า “Margin Markup Calculator” 

วิธีการใช้ก็ไม่ยุ่งยากอะไร ใน App จะมีช่องให้ใส่ตัวเลขอยู่ 4 ช่อง ประกอบไปด้วย

✅Cost Price = ราคาที่บริษัทฯจะขายให้เขา

✅Sales Price = ราคาขายหน้าร้าน, ราคาที่ลูกค้าจะขายต่อให้ลูกค้าเขาอีกที

✅Margin = กำไรที่ลูกค้าเรียกร้อง โดยคำนวณมาจากราคาขายหน้าร้าน

✅Markup = กำไรที่ลูกค้าเรียกร้อง โดยคำนวณมาจากต้นทุนที่เขาซื้อ

คราวนี้เราก็เพียงแต่ใส่ตัวเลขตามที่เรารู้อย่างน้อย 2 ตัว ส่วนที่เหลือ App จะคำนวณให้ทั้งหมด

ยกตัวอย่างที่เราจะขายแชมพู โดยตั้งราคาขายปลีกไว้ที่ 25 บาท และฝ่ายจัดซื้อเขาขอ Margin 30% วิธีการก็คือ

1)เอาตัวเลข 25 ไปใส่ในช่อง “Sales Price” 

2) เอาตัวเลข 30 ไปใส่ในช่อง “Margin”

ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ

✅Cost Price คือราคาที่เราต้องส่งให้ลูกค้ารายนี้คือ 17.50 บาท 

✅Markup ถ้าคิดในระบบ Markup ลูกค้าจะได้กำไร 42.85%

✅กำไรที่เป็นเม็ดเงิน =7.5 บาท ต่อชิ้น

อย่างไรก็ตาม App ประเภทเครื่องคิดเลขแบบนี้มีอยู่หลายตัวให้เลือกมีทั้ง Andriod และ iOS ลองเลือกใช้ดูครับ ราคา+ประสิทธิภาพพอๆกัน แต่แนะนำให้ใช้ Version แบบเสียตังค์ไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีโฆษณารบกวน

อันนี้เป็น 3 App พื้นฐานที่ผมแนะนำเซลส์แมนควรมีติดเครื่องเอาไว้นะครับ อาจมีการเสียตังค์อยู่บ้างแค่หลักร้อย แต่เชื่อเหอะว่าคุ้ม

บทความนี้ไม่มีลิขสิทธิ์สามารถเผยแพร่ได้ตามสะดวก

-บุ้ง ดีดติ่งหู-

Marketing&Sales Conusultant

The Underdog Marketing

จุดประกายไอเดียทางการตลาดและการขาย

สมัครรับข่าวสาร

© สงวนลิขสิทธิ์ 2018-2024 Underdog Marketing
นโยบายความเป็นส่วนตัว
crossmenu

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า