✔️สูตรสำเร็จอันนี้ที่จะทำให้สินค้าของเราขายขายได้ นอกจากเรื่องสินค้าต้องมีคุณภาพที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือการทำการตลาด
แล้วกิจกรรมที่สำคัญของการตลาด ซึ่งคนโดยส่วนนึกถึงและพูดติดปากอยู่เสมอก็คือ
“การโฆษณา ประชาสัมพันธ์” ซึ่งภาษาย่อๆเขาจะเรียกประมาณนี้
?โฆษณา = Ads (แอด) ย่อมาจากคำว่า “Advertising”
?ประชาสัมพันธ์ = PR มาจากคำว่า “Public Relation”
บทความนี้เลยขออนุญาต Back to Basic ถึงสองคำนี้ เพราะโดยนัยยะแล้ว ทั้งคู่มีความแตกต่างกันใน 3 ประเด็นใหญ่ๆดังนี้
1️⃣วัตถุประสงค์หลัก
?Ads = ขายสินค้า
?PR = สร้างภาพลักษณ์ที่ดี หรือสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า
✔️อันนี้จะเป็นสิ่งแรกสุดว่าถ้าเราจะสร้างชิ้นงานซักชิ้นหนึ่งเพื่อสื่อสารให้กับลูกค้า หรือผู้บริโภค ต้องตั้งโจทย์ให้ชัดว่า เราต้องการ “เน้น” ขายสินค้า หรือ “เน้น”จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดี เอาให้แน่ๆก่อน
แน่นอนว่าในหนึ่งชิ้นงานนั้น อาจต้องตอบโจทย์ทั้งคู่นั่นแหละ แต่จะเน้นน้ำหนักไปทางไหน เช่น ถ้าท่านทำธุรกิจอาหารสุนัข ถ้าเน้นเรื่องการขายสินค้า ดังนั้นชิ้นงานก็ต้องมี Pack Shot สินค้าตัวโตๆ มีรูปหมากำลังยิ้มอย่างมีความสุข บอกสรรพคุณซะให้เสร็จสรรพ
✔️แต่ถ้าเป็นชิ้นงานประชาสัมพันธ์แล้วละก็ อาจจะเป็นรูปการแถลงข่าวการบริจาคให้กับสถานรับเลี้ยงสุนัขจรจัด หรือทำโครงการบริจาค 10 บาท ต่อการถุง เพื่อสบทบทุนอะไรก็ว่าไป
หรือทำเป็นบทความ หรือ vdo clip บน Youtube เกี่ยวเรื่องวิธีการเลี้ยงสุนัขให้ถูกต้อง แล้วขึ้นโลโก้ท้ายคลิ๊บ หรือจะเอาสินค้าเราไปเป็นส่วนหนึ่งของ clip ก็ยังได้
2️⃣วิธีการใช้เงิน
?Ads = เน้นใช้เงินในการซื้อสื่อ ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์
?PR แยกออกเป็น 2 เรื่อง
Offline PR = เน้นใช้ความสัมพันธ์กับสื่อ อาจมีการใช้เงินบ้าง เช่น การจัดงานแถลงข่าว แล้วเชิญนักข่าวมาทำข่าวให้
Online PR = ถ้าคนชอบก็แชร์
✔️โดยปรกติแล้วในโลกออนไลน์คงจะมีน้อยคนมากที่จะแชร์สื่อโฆษณา ประเภทลดแลกแจกแถม แต่ถ้าเป็นหนัง PR แล้วละก็ ถ้าคนเขาชอบก็มีสิทธิ์แชร์ออกไป ซึ่งเราอาจจะใช้เงินเพียงนิดเดียวในช่วงแรก แต่ก็เป็นไปได้ว่าคนอื่นมีสิทธิ์เห็นเป็นล้านวิว นั่นก็คือเราได้พื้นที่สื่อฟรีๆนั่นเอง
3️⃣วิธีทำให้คนจดจำ
?Ads = ใช้ความถี่ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเห็นได้บ่อยจนกระทั่งกลายเป็นลูกค้า หรืออย่างน้อยให้กลายเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ (Top of Mind) เมื่อต้องตัดสินใจซื้อ
?PR = เนื้อหาของชิ้นงานต้องทำให้กลุ่มเป้าหมายมีความน่าสนใจ, มีความน่าเชื่อถือ ตรง “จริต”กับเขา
ซึ่งตรงนี้ถ้าเป็นชิ้นงาน PR เขาอาจจะเห็นเพียงครั้งเดียวก็ได้ แต่สร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี
✔️ยกตัวอย่างชิ้นงาน PR ชิ้นหนึ่งที่ส่วนตัวชอบที่สุดในรอบสิบปีที่ผ่านมา เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี 2015 เป็นของร้านปิ้งย่างชื่อดัง Bar-B-Q Plaza ในชื่อ “The Waiters’Mom - พนักงานร้านอาหารก็มีแม่”
ตัวเองเห็นแค่ครั้งแรกครั้งเดียว ก็รู้สึก “โดน” กับชิ้นงาน PR นี้อย่างแรง จากเดิมก็มองเป็นว่าก็เป็นร้านอาหารธรรมดา แต่พอเจอชิ้นงานนี้เข้าไป ภาพลักษณ์ของที่นี่กลายเป็นตรง “จริต” กับผมทันที อย่างแรกทำให้ภาพลักษณ์ร้านนี้เป็นร้านอาหารสำหรับครอบครัว อย่างที่สองทำให้รู้สึกเลยว่าผู้บริหารเขาให้ความใส่ใจกับน้องๆหน้าร้าน
?พูดง่ายๆคือร้านนี้ “น่ารัก” อย่างแรง?
ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่อยากกินอาหารประเภทนี้ ก็จะนึกถึงเป็นที่แรก ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นโฆษณาร้านนี้ซักที ว่ามีโปรโมชั่นอะไรบ้าง
ใครนึกไม่ออกลองเข้าไปเสริชดูในYoutube ได้ครับ
?https://www.youtube.com/watch?v=WK5NYCekCVM
❓คำถามคือแล้วทำไมต้องรู้พื้นฐานของทั้งสองคำนี้ด้วย?
✔️อย่างแรกเรื่องของวัตถุประสงค์ ถ้าเป็นหนังโฆษณาเราก็พอจะหวังยอดขายได้ แต่ถ้าเป็นสื่อเพื่อสร้างภาพลักษณ์สินค้า หรือองค์กรแล้วละก็ถ้าจะหวังเรื่องยอดขายคงจะเป็นเรื่องรองลงไป
✔️อย่างที่สอง ในการจัดสรรงบประมาณ
ถ้ามีเงินอยู่ 100 บาท ฝ่ายการตลาดต้องดูแล้วว่าในปีนั้นเราควรจะแบ่งเป็นงบโฆษณา กับประชาสัมพันธ์อย่างละเท่าไร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้าหวังผลเรื่องยอดขายโดยตรง ก็อาจจำเป็นต้องใช้เงินโฆษณาเยอะกว่า แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราทำหนังประชาสัมพันธ์งานนี้อาจต้องหวังผลในระยะยาวมากกว่า
ทุกวันนี้วิธีการทำสื่อปัจจุบันมักจะนิยมผสมๆกันระหว่างโฆษณา กับประชาสัมพันธ์เข้าด้วยกัน แต่เนื้อหาค่อนไปทาง PR มากกว่านิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าเป็น “Advertorial” มาจากคำว่า Advertisement + Editorial
เนื่องจากพื้นที่สื่อประเภท Social Media มีมหาศาล ไม่เหมือนยุคก่อนหน้านี้ที่สื่อแบบ Offline อย่างเดียว แถมยังเวลาจำกัดอีกด้วย
✔️สมัยก่อนตอนที่เคยทำงานซื้อสื่อโฆษณาอยู่ โทรทัศน์ก็มีเพียง 4-5 ช่องเท่านั้น แต่ตอนนี้ช่องทางกับมีเป็นล้านๆช่อง ก็พวก Youtube, TikTok ดังนั้นสินค้าเราจะติดตลาดหรือไม่ คราวนี้ไม่ได้มีข้อจำกัดของพื้นที่สื่อแล้ว
ตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่า Content ที่เราส่งไปหากลุ่มเป้าหมายมัน “โดน” หรือเปล่า เช่น เราจะออกสินค้าใหม่ซักตัว อาจให้เป็นสปอนเซอร์ให้ Youtuber ดังๆ เขาช่วยรีวิวสินค้า, เอาเข้าไป Tie-in ในรายการ
หรือแม้กระทั่งทำ Content ใหม่ ที่เกี่ยวกับตัวสินค้าแบบอ้อมๆ แล้วค่อยเผยโฉมตัวสินค้าก็ได้ เช่น เป็น Content ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว แต่สุดท้ายเวลาใช้จ่ายก็ผ่านบัตรเครดิตที่เป็น Sponsor รายการก็ได้ แล้วได้สิทธิพิเศษอะไรที่เหนือกว่าก็ว่ากันไป
✅ผมว่าตอนนี้ถือเป็นโอกาสดีของบรรดาเจ้าของสินค้าเจ้าเล็กๆแล้วนะครับ ที่ทุกคนมีโอกาสที่จะใช้สื่อได้เต็มที่ คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับ “ฝีมือ” ในการทำตลาดล้วนๆแล้วละครับ
บทความนี้ไม่มีลิขสิทธิ์สามารถเผยแพร่ได้ตามสะดวก
???
-บุ้ง ดีดติ่งหู-
Marketing&Sales Consultant
The Underdog Marketing
Line id: wichawut_boong
Email: [email protected]
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า